“การจัดเก็บภาษี” เป้าหมายหลักต้องผลักดันให้สำเร็จ ของคุณปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร
โดย
 |
| |
“การจัดเก็บภาษี” เป้าหมายหลักต้องผลักดันให้สำเร็จ ของคุณปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร
|
ด้วยความที่คลุกคลีและคุ้นเคยกับชีวิตการรับราชการจากครอบครัว หลังจากเรียนจบปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท Master of Science in Economics จาก University of Glasgow ประเทศสกอตแลนด์ แม้จะมีข้อเสนอที่น่าสนใจจากงานสายการเงินมาให้พิจารณา แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนความมุ่งมั่นตั้งใจในการรับราชการไปได้ เส้นทางข้าราชการของกระทรวงคลังของคุณปิ่นสาย สุรัสวดี จึงเริ่มต้นขึ้นที่ส่วนงานวิชาการภาษี กรมสรรพากร เมื่อปี 2538 ตลอดระยะเวลา 29 ปีในการทำงานที่กรมสรรพากร อธิบดีปิ่นถือได้ว่าเป็นลูกหม้อที่ผูกพันและรู้จักกับกรมสรรพากรเป็นอย่างดี เคยได้รับตําแหน่งสําคัญในหลายกอง อาทิ ผู้อํานวยการกองวิชาการแผนภาษี ผู้อํานวยการกองบริหารการเสียภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ ผู้อํานวยการกองบริหารทรัพยากรบุคคล เลขานุการกรม ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกรรมทางการเงิน การธนาคาร) และรองปลัดกระทรวงการคลัง กลุ่มภารกิจด้านรายได้ ด้วยความรู้ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และด้านการบัญชีที่เรียนมาเพิ่มเติมในภายหลัง รวมถึงประสบการณ์การทำงานจากหลายส่วนงานและได้เก็บเกี่ยวจากผู้บริหารกระทรวงและอดีตอธิบดีกรมสรรพากร จึงทําให้ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากรคนที่ 28 ดูแลการบริหารจัดเก็บภาษีซึ่งมีบทบาทสำคัญยิ่งกับฐานะการคลังของประเทศในยุคที่เศรษฐกิจยังไม่แข็งแรงและมีความท้าทายสูงเช่นนี้ ถือเป็นเกียรติที่วารสารเอกสารภาษีอากรได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ คุณปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร จากความรู้ความเข้าใจระบบภาษีทั้งในระดับประเทศและระดับสากล การพูดคุยในครั้งนี้เราจึงได้เห็นถึง “นโยบายจัดเก็บภาษีและมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการในยุค Digital Economy” ทิศทางบริหารกรมสรรพากร รวมถึงคำแนะนำในการดำเนินธุรกิจให้ยั่งยืนในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลสำหรับผู้ประกอบการ
หลังจากรับตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร เรื่องเร่งด่วนที่ท่านให้ความสำคัญและผลักดันคือเรื่องใด ก่อนมารับตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร ผมเองในฐานะคนกรมสรรพากรมีความตั้งใจจะมาแก้ปัญหาจากดิจิทัลดิสรัปชัน (Digital Disruption) รวมถึงดำเนินการเรื่องการรับมือกับบริบทของการจัดเก็บภาษีโลกที่เปลี่ยนแปลงให้แล้วเสร็จ แต่เมื่อมาเข้ามาทำงานจริง ๆ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ก็พบว่า เป้าหมายหลักสำคัญที่สุดต้องผลักดันให้สำเร็จก็คือ “การจัดเก็บภาษี” ด้วยจังหวะเวลาที่มารับตำแหน่งเป็นช่วงระยะที่เศรษฐกิจเพิ่งฟื้นตัวไม่นาน อีกทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศยังไม่ใช่ช่วงขาขึ้น ในขณะที่งบประมาณรายจ่ายปี 2568 ของรัฐบาลอยู่ที่ 3.752 ล้านล้านบาท โดยเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรในปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 2.37 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้นประมาณ 5% จากปี 2567) ดังนั้นการจัดเก็บภาษีจึงเป็นงานเร่งด่วนที่ต้องผลักดันให้เป็นไปตามเป้าหมายเพื่อให้รัฐมีรายได้เพียงพอสำหรับการบริหารประเทศ ดังนั้นผมจึงประชุมทีมงานที่เกี่ยวข้องและขอดูยอดจัดเก็บภาษีรายวัน แยกเป็นหน่วยจัดเก็บและประเภทแบบภาษีอย่างใกล้ชิด ซึ่งทำให้ได้เห็นข้อมูลและนำมาวิเคราะห์เพื่อหาช่องทางที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บของภาษีแต่ละประเภท ภาษีที่เก็บได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์จะต้องมีรายได้จากภาษีอื่นมาชดเชย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาพบว่าภาษีมูลเพิ่ม (VAT) ส่วนที่เป็นการบริโภคในประเทศมีโอกาสเติบโตได้อีก ทั้งนี้ โดยภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ต.ค. - ธ.ค.67) สามารถจัดเก็บรายได้ 4.7 แสนล้านบาท สูงกว่าประมาณการเกือบ 4 พันล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพิ่มขึ้น 12% (เฉลี่ยเดือนละ 5 พันล้านบาท) ซึ่งมาจากแนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มขยายตัวส่งผลให้การบริโภคในประเทศปรับตัวดีขึ้น ภาษีมูลค่าเพิ่มถือเป็นฐานรายได้หลักจึงให้ความสำคัญมาก โดยจากข้อมูลพบว่าการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสินค้านําเข้ามีรายได้ต่ำกว่าเป้าติดต่อกันหลายเดือน จึงมีนโยบายมุ่งการจัดเก็บภาษีมูลเพิ่มในประเทศเพื่อชดเชย ทั้งนี้ การทำงานจะแบ่งผู้เสียภาษีเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มที่อยู่ในระบบและเสียภาษีถูกต้องครบถ้วน 2. กลุ่มที่อยู่ในระบบแต่ยังเสียภาษีไม่ครบถ้วน และ 3. กลุ่มที่ไม่อยู่ในระบบ ทั้งจากที่เกิดจากไม่มีความรู้หรือจากความตั้งใจหลบเลี่ยงภาษี แน่นอนว่าสรรพากรจะให้ความสำคัญกับผู้เสียภาษีกลุ่ม 2 และ 3 โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ ด้วยการทำให้ผู้ประกอบการเข้ามาอยู่ในระบบและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างถูกต้อง ซึ่งจะเห็นว่ามีการให้ความรู้และคำเตือนผ่านช่องทางต่าง ๆ เมื่อถึงเวลายื่นภาษี พร้อมคำแนะนำว่าทำอย่างไรให้ถูกต้อง สำหรับกลุ่มภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90 และภ.ง.ด. 91) ซึ่งช่วงต้นปีนี้เป็นช่วงการยื่นภาษีพอดี ผู้เสียภาษีจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มมนุษย์เงินเดือน กลุ่มนี้มีการรับเงินผ่านระบบการจ่ายเงินที่ชัดเจนมีการถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายจึงเป็นต้องเป็นไม่ห่วง ส่วนอีกกลุ่มที่ต้องจับตาก็คือ พวก Self Employed ได้แก่ กลุ่มซื้อมาขายไป โดยเฉพาะกลุ่มที่ค้าขายออนไลน์ ซึ่งทางกรมสรรพากรพยายามจะให้เข้ามายื่นภาษีและเข้าระบบให้ถูกต้อง หากยื่นภาษีมีข้อผิดพลาดก็ยังมีทางแก้ไขได้ แต่ถ้าหากไม่ยื่นแล้วปล่อยเวลาทิ้งไว้ ผ่านไป 1 - 2 ปีทางกรมสรรพากรเราตรวจพบอย่างแน่นอนจากร่องรอยทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเมื่อตรวจพบนอกจากภาษียังมีเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจำนวนมากด้วย เรียกว่าบางรายจากภาษีจำนวน 1 แสนบาท เมื่อรวมกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่มอาจกลายเป็น 4 แสนบาท ซึ่งท้ายที่สุดแล้วผู้เสียภาษีก็ไม่มีกำลังจ่ายเนื่องจากได้ใช้เงินไปหมดแล้ว การที่จะมาขอให้ลดเบี้ยปรับเงินเพิ่มให้ในทางกฎหมายไม่สามารถทำไม่ได้ จึงต้องมีการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้กรมสรรพากรก็พยายามประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มพ่อค้าแม่ค้ายื่นภาษี ถูกผิดอย่างไรก็ยังแก้ไขกันได้ภายหลังได้ ซึ่งความเสียหายจะไม่รุนแรงเท่าการไม่ยื่นหรือหลบเลี่ยงภาษี สำหรับกลุ่มภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50) ซึ่งยื่นภาษีช่วงกลางปี เป็นการยื่นแบบตามผลประกอบการในช่วงปีที่ผ่านมาโดยที่เศรษฐกิจอาจยังขยายตัวได้ไม่มากนัก จึงมีทั้งกลุ่มธุรกิจที่ผลประกอบการดีและกลุ่มธุรกิจที่ผลประกอบการไม่ดี ก็จะมีการดูรายละเอียดให้การเสียภาษีสอดคล้องกับผลประกอบการจริง ตรงนี้ก็ได้กำชับเจ้าหน้าให้นำเอาความรู้ความสามารถมาพูดคุยกับผู้ประกอบการ สำหรับส่วนที่เป็นรายได้ หากมีที่หลบอยู่ก็ต้องเอานำเข้าระบบ ส่วนรายจ่ายที่เกินสมควรไปก็คงต้องปรับลดลง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่การไปไล่บี้หรือไปรีดไถกับผู้ประกอบการ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับระบบบัญชี คือ ส่วนที่เป็นรายได้ก็คือรายได้ ถ้าไม่นำมาลงเป็นรายได้อันนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง สำหรับส่วนเป็นที่รายจ่าย ถ้าใช้เกินไปก็คงยอมไม่ได้เช่นกัน ประเด็นเหล่านี้เชื่อว่าหน่วยจัดเก็บทราบดีกว่าผม เพียงแต่ได้ให้แนวทางที่ความชัดเจนว่า ให้เน้นจัดเก็บอย่างครบถ้วน ถูกต้อง และตรงไปตรงมา ดังนั้นหากธุรกิจมีผลประกอบการดีก็ต้องจ่ายภาษี แต่ถ้าผลประกอบการไม่ดีเรารับได้ ถ้ามีเหตุผล จากการดูตัวเลขผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจอาจยังขยายตัวได้ไม่ดีนัก ดังนั้นอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบธุรกิจและการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงภาษีหัก ณ ที่จ่าย ด้วยเช่นกัน ซึ่งต้องมีการติดตามตัวเลขกันอย่างใกล้ชิดต่อไป
|
จากสัมภาษณ์พิเศษ คุณปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร “นโยบายจัดเก็บภาษีและมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการในยุค Digital Economy” Section: Cover Story / Column: Cover Story/ อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่... วารสารเอกสารภาษีอากร ปีที่ 44 ฉบับที่ 522 เดือนมีนาคม 2568 หรือสมัครสมาชิก “วารสารเอกสารภาษีอากร” เพื่อรับสิทธิอ่านและสืบค้นบทความ ผ่านระบบ e- Magazine Index
|
|
| |
| |
|
|

|