กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการลงทุน ภายใต้ความรับผิดชอบของ BOI
โดย
 |
| |
กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการลงทุน ภายใต้ความรับผิดชอบของ BOI
|
กฎหมายที่สำนักงานส่งเสริมการลงทุน หรือ The Board of Investment of Thailand หรือ BOI มีหน้าที่ปฏิบัติจัดตั้งซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการลงทุนที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจ เพื่อการใช้ประโยชน์สิทธิดังกล่าวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แบ่งออกเป็น 2 กฎหมายหลัก ได้แก่ 1. พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน และ 2. พระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย 1. พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 (ปรับปรุงล่าสุดในปี พ.ศ. 2560) เป็นกฎหมายหลักที่ออกมาเพื่อให้การส่งเสริมการลงทุนแก่ผู้ประกอบการทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศที่มาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยให้อำนาจคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในการประกาศกำหนดประเภทและขนาดของกิจการที่จะให้การส่งเสริมการลงทุนและท้องที่หรือเขตพื้นที่ที่จะเป็นเขตส่งเสริมการลงทุน พระราชบัญญัติกำหนดสิทธิและประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการสรุปได้เป็น 3 ด้าน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการดังนี้ (1) สิทธิในการนำเข้าองค์ประกอบการผลิตทั้งหมดเข้ามาในประเทศไทย โดยได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษ ได้แก่ (ก) สิทธิในการนำคนต่างด้าวซึ่งเป็นผู้ชำนาญการเข้ามาในราชอาณาจักรได้ (ข) สิทธิในการถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามจำนวนที่คณะกรรมการพิจารณาเห็นสมควร แม้จะเกินกำหนดที่จะพึงมีได้ตามกฎหมายอื่น (ค) สิทธิในการได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร แต่เครื่องจักรนั้นต้องไม่เป็นเครื่องจักรที่ผลิตหรือประกอบได้ในราชอาณาจักร (ง) สิทธิในการได้รับลดหย่อนอากรขาเข้าไม่เกินร้อยละ 90 ของอัตราปกติ สำหรับวัตถุดิบหรือวัสดุจำเป็นที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อใช้ผลิต (2) สิทธิได้รับการยกเว้นด้านภาษี ซึ่งแบ่งเป็น (ก) การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริม ซึ่งโดยหลักอยู่ที่ระยะเวลาการยกเว้นไม่เกิน 8 ปี นับแต่วันที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการนั้น แต่หากเป็นกรณีกิจการที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูงตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด การยกเว้นภาษีนิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิจะได้รับการขยายไปไม่เกิน 13 ปี นับแต่วันที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการ และ (ข) การยกเว้นการรวมเงินปันผลจากกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพื่อเสียภาษีเงินได้ตลอดระยะเวลาที่ผู้ได้รับการส่งเสริมได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น (3) สิทธิและประโยชน์พิเศษด้านการส่งออก เช่น การยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับของที่ผู้ได้รับการส่งเสริมนำเข้ามาเพื่อส่งกลับออกไป เป็นต้น นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนแล้ว ภายใต้พระราชบัญญัติดังกล่าวรัฐบาลยังให้หลักประกันและการคุ้มครองแก่ผู้ประกอบการเพิ่มเติม ดังนี้ (ก) รัฐจะไม่โอนกิจการของผู้ได้รับการส่งเสริมมาเป็นของรัฐ ไม่ประกอบกิจการขึ้นใหม่แข่งขันกับผู้ได้รับการส่งเสริม ไม่ทำการผูกขาด ไม่ควบคุมราคา (ข) ไม่อนุญาตให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยได้รับการยกเว้นอากรขาเข้า ในส่วนของผลิตภัณฑ์ชนิดที่เห็นว่าเป็นชนิดเดียวกับที่ผู้ได้รับการส่งเสริมเป็นผู้ผลิต (ค) คณะกรรมการอาจพิจารณากำหนดค่าธรรมเนียมพิเศษหรือมาตรการต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองกิจการของผู้ได้รับการส่งเสริม ในการแข่งขันกับผู้ประกอบการต่างประเทศที่มีผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน คล้ายคลึงกัน หรือทดแทนกันซึ่งจะนำผลิตภัณฑ์นั้นเข้ามาในประเทศไทย จะเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการที่ครอบคลุมองค์ประกอบการดำเนินธุรกิจพื้นฐานตั้งแต่คน เครื่องจักร วัตถุดิบ รวมถึงให้สิทธิประโยชน์ในการยกเว้นภาษีทั้งภาษีนิติบุคคลและภาษีเงินปันผลจากกำไรสุทธิที่เกิดจากการประกอบธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริม ซึ่งเป็นหนึ่งในสิทธิประโยชน์ที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการอย่างมาก และท้ายที่สุด พระราชบัญญัติยังให้ความคุ้มครองเพื่อการรับประกันความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในประเทศไทย ด้วยการให้ Unfair Advantage ผ่านกลไกนโยบายการกีดกันทางการค้าบางส่วนสำหรับผู้ประกอบการในต่างประเทศอีกด้วย 2. พระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2560 เป็นอีกหนึ่งกฎหมายที่อยู่ภายใต้การดูแลและหน้าที่ของสำนักงานฯ ซึ่งมุ่งเน้นการสนับสนุน “อุตสาหกรรมเป้าหมาย” ได้แก่ อุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับศักยภาพของประเทศ ซึ่งต้องเป็นอุตสาหกรรรมประเภทใหม่ที่ไม่เคยมีการผลิตหรือการให้บริการในประเทศมาก่อน หรือเป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้เทคโนโลยีใหม่หรือใช้ความรู้ในการผลิตขั้นสูงเพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรม ภายใต้พระราชบัญญัติดังกล่าว จะมีการแต่งตั้ง “คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย” ขึ้นมา โดยให้อำนาจแก่คณะกรรมการดังกล่าวในการกำหนดนโยบายชัดเจนว่า กิจการใดบ้างที่จะเข้าเกณฑ์เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย แต่การดำเนินการส่งเสริมจะดำเนินการโดยผ่านสำนักงานฯ ทั้งนี้ กลไกการส่งเสริมภายใต้พระราชบัญญัตฉบับนี้จะแตกต่างจากพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน โดยอาจมีทั้งในรูปแบบ (ก) คณะอนุกรรมการสรรหาและเจรจาเป็นผู้ประเมินผู้ประกอบกิจการเองว่า มีรายใดเข้าเกณฑ์ และแจ้งสำนักงานฯ ให้แจ้งผู้ประกอบการนั้นเข้าสู่กระบวนการยื่นข้อเสนอโครงการลงทุน หรือรูปแบบ (ข) หากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเป้าหมายรายใดต้องการได้รับการส่งเสริม ก็สามารถมายื่นขอรับการส่งเสริมได้จากสำนักงานฯ เช่นกัน สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับภายใต้กรอบของพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถ แบ่งออกเป็น (1) สิทธิประโยชน์ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน ยกเว้นสิทธิประโยชน์ด้านภาษีภายใต้กฎหมายดังกล่าว เนื่องจากพระราชบัญญัติฉบับนี้กำหนดกรอบการยกเว้นภาษีภายใต้กรอบกฎหมายฉบับนี้แยกต่างหาก โดยเป็นสิทธิได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ในระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 15 ปี นับแต่วันที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการนั้น รวมถึงการยกเว้นการรวมเงินปันผลจากกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมายในการคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ด้วย (2) สิทธิและประโยชน์ในการได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการลงทุน การวิจัยและพัฒนา การส่งเสริมนวัตกรรม หรือการพัฒนาบุคลากรเฉพาะด้านของกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจะประกอบด้วยเงินและทรัพย์สินจากการจัดสรรของรัฐบาล โดยในระยะเริ่มแรกกำหนดในกฎหมายให้รัฐบาลจัดสรรเงินให้กองทุนดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 10,000 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศฯ ฉบับนี้ เป็นอีกหนึ่งกฎหมายที่มีบทบาทสำคัญในการให้การสนับสนุนส่งเสริมการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการที่อยู่ในเกณฑ์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งเป็นสิทธิที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากสิทธิประโยชน์ที่พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนให้ไว้ โดยเฉพาะสิทธิยกเว้นภาษีที่ยาวนานกว่าและสิทธิที่จะได้รับการส่งเสริมเงินทุนจากกองทุนอีกด้วย
|
จากบทความ “กฎหมายส่งเสริมการลงทุนที่ผู้ประกอบการควรรู้” Section: Laws & News / Column: Business Law/ อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่... วารสารเอกสารภาษีอากร ปีที่ 44 ฉบับที่ 522 เดือนมีนาคม 2568 หรือสมัครสมาชิก “วารสารเอกสารภาษีอากร” เพื่อรับสิทธิอ่านและสืบค้นบทความ ผ่านระบบ e- Magazine Index
|
|
| |
| |
|
|

|