Well-Being ที่ดีของพนักงาน” อีกหนึ่งประเด็นที่องค์กรควรให้ความสำคัญในยุคนี้
โดย
|
5 ปัจจัยในการสร้าง Well-being ที่ดีของพนักงาน
|
หลายคนเมื่อพูดถึงคำว่า Well-Being ก็มักจะคิดถึงแค่ ชีวิตที่มีความผาสุกหรือการมีความสุข และคิดแค่เพียง เรื่องของเงินหรือไม่ก็สุขภาพ เพราะเป็นสองเรื่องที่พอจะวัดกันได้จริงๆ จังๆ แต่จากผลงานวิจัยและหนังสือที่ชื่อว่า “Well-Being” โดย Tom Rath และ Jim Harter ที่ได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้และได้ผลออกมาว่า มีปัจจัยในการสร้าง Well-Being อยู่ 5 ปัจจัย ซึ่งหากเราต้องการชีวิตที่มี Well-Being ก็ต้องสร้างจาก 5 ปัจจัยนี้ มีอะไรบ้างลองมาดูกันครับ
• Career Well-Being ในด้านปัจจัยทางอาชีพการงาน สามารถมองได้ทั้งด้านความรักชอบในงานของพนักงาน แปลว่า องค์กรต้องคัดเลือกพนักงานที่มีความชอบในงานที่ทำ นอกจากนี้ก็ต้องสามารถทำให้พนักงานเห็นถึงความเติบโต ในสายอาชีพนั้นๆ ว่า ถ้าทำงานในองค์กรไปนานๆ แล้วจะเติบโตไปทางไหนได้บ้าง และมีโอกาสสักแค่ไหนที่จะเติบโต รวมทั้งถ้าอยากจะเติบโตจะต้องทำอะไร ซึ่งถ้าองค์กรมีความชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ พนักงานก็จะรู้สึกว่า ตัวเองกำลังทำงาน ที่นี่มีความมั่นคงและมีโอกาสเติบโต ก็จะทำให้เกิดความทุ่มเทและอยากสร้างผลงาน โดยหนทางที่องค์จะสามารถสร้าง Career Well-Being ให้เกิดขึ้นได้ก็คือ องค์กรต้องมีระบบ Career Path ที่ชัดเจน มีระบบพัฒนาให้พนักงานสามารถ เติบโตตามสายอาชีพของตัวเองได้ และสามารถทำให้พนักงานมองเห็นอนาคตของตัวเองได้อย่างชัดเจน
• Social Well-Being ในด้านปัจจัยทางสังคม เพื่อนพ้อง หัวหน้า เหล่านี้องค์กรสามารถทำให้พนักงานรู้สึกถึง การมีสังคมที่ดีได้หรือไม่ เพราะการมีเพื่อนร่วมงานที่ดี ทำงานกันเป็นทีม มีหัวหน้าที่ดีซึ่งเข้าใจลูกน้อง มีกิจกรรมร่วมกัน เพื่อสร้างสังคมและทีมงานที่ดี สิ่งเหล่านี้จะทำให้พนักงานรู้สึกถึงความสุขใจ เพราะคนเราเป็นสัตว์สังคมอยู่แล้ว ดังนั้น ย่อมต้องการเพื่อน ต้องการมีคนพูดคุย เห็นใจกัน ถ้าองค์กรสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ได้ พนักงานก็จะรู้สึกถึงความสุข ในการทำงาน เมื่อจะคิดลาออกก็ต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะเขาอาจจะไม่ได้เจอสังคมแบบนี้ในที่ทำงานอื่นก็เป็นได้ ดังนั้น ระบบที่องค์กรควรจะมีเพื่อให้เกิด Social Well-Being ที่ดีคือ การจัดกิจกรรมกลุ่มต่างๆ และการสร้างบรรยากาศที่ดี ในการทำงานร่วมกัน โดยเริ่มจากผู้นำองค์กรจะต้องเป็นคนแสดงพฤติกรรมเหล่านี้ให้เห็นก่อน และสร้างความตระหนักรู้ แก่ผู้บังคับบัญชาทุกระดับถึงความสำคัญของการสร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดี รวมทั้งการเปิดโอกาสให้มีการพูดคุย ปรึกษาหารือกันระหว่างพนักงานและหัวหน้า นอกจากนี้ยังมีการสร้างสังคมเพื่อนร่วมงานเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสต่างๆ ซึ่งจะทำให้ได้ทั้งสังคมภายใน และเป็นประโยชน์ต่อบุคคลภายนอกด้วย
• Financial Well-Being ปัจจัยที่ 3 เป็นเรื่องของเงินๆ ทองๆ โดยองค์กรจะต้องมีระบบการบริหารค่าตอบแทนที่ แข่งขันได้ กล่าวคือ ไม่มากหรือไม่น้อยเกินไป ทำให้พนักงานรู้สึกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าตอบแทนเมื่อทำงาน เพราะ องค์กรจ่ายในระดับที่แข่งขันได้อยู่แล้ว ซึ่งนอกจากค่าตอบแทนแล้ว ก็ยังมีเรื่องของสวัสดิการต่างๆ ด้วย โดยถ้าพนักงาน รู้สึกว่าค่าตอบแทนและสวัสดิการที่บริษัทให้ อยู่ในเกณฑ์ที่แข่งขันได้และมีความเป็นธรรม เขาก็จะยินดีทุ่มเททำงานให้ องค์กรมากขึ้น ดังนั้นการสร้าง Financial Well-Being ให้เกิดขึ้นได้ องค์กรต้องมีการวางระบบบริหารค่าตอบแทน โครงสร้างเงินเดือน ระบบค่าตอบแทนตามผลงาน ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นเงินเดือน โบนัส หรือแรงจูงใจต่างๆ ให้สอดคล้อง กับผลงาน และมีความเป็นธรรมทั่วทั้งองค์กร อีกทั้งต้องมีระบบสวัสดิการที่สามารถช่วยเหลือพนักงานในกรณีที่พนักงาน เกิดมีปัญหาทางด้านการเงิน เช่น การกู้ยืมเงินในกรณีต่างๆ เพื่อให้พนักงานรู้สึกถึงความมั่นคงทางการเงินขณะทำงาน อยู่กับองค์กร
• Physical Well-Being ปัจจัยที่ 4 คือเรื่องสุขภาพกายและใจของพนักงาน โดยปัจจุบันถ้าจะประยุกต์แนวคิดนี้ ไปใช้ในการสร้างความรู้สึกผูกพัน ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการสร้าง Work-Life Balance หรือการที่องค์กรสนับสนุนให้ พนักงานสามารถทำงานและใช้ชีวิตส่วนตัวได้อย่างสมดุลนั่นเอง โดยให้ความสำคัญเรื่องความยืดหยุ่นของเวลาการทำงาน การให้เวลาพนักงานได้ใช้ชีวิตส่วนตัวเพื่อพัฒนาสุขภาพกายและจิตใจ รวมถึงมีเวลาให้ครอบครัว ดังนั้นระบบสวัสดิการ และการทำงานแบบยืดหยุ่นจึงเกิดขึ้นในองค์กรที่ต้องการจะสร้าง Physical Well-Being ให้กับพนักงาน นอกจากนี้ ก็ควรจะมีสวัสดิการทางด้านสุขภาพ เช่น ฟิตเนส การพักผ่อนระหว่างการทำงาน กิจกรรมลดความเครียดจากการทำงาน การส่งเสริมสุขภาพกายสุขภาพใจให้แข็งแรง เป็นต้น
• Community Well-Being ปัจจัยสุดท้ายคือ พนักงานรู้สึกว่าทำงานแล้วมีส่วนทำให้สังคมรอบข้างที่ตัวเองอยู่นั้น ดีขึ้นไปด้วย โดยระบบที่เกี่ยวข้องมากที่สุดคือเรื่อง CSR ที่ปัจจุบันหลายๆ บริษัทกำลังพยายามสร้าง โดยเป็นการไปช่วย เหลือสังคมในแง่มุมต่างๆ และสนับสนุนให้พนักงานได้มีส่วนร่วมด้วย ตัวอย่างเช่น บางบริษัทถ้าพนักงานต้องการไปเลี้ยง อาหารกลางวันคนชรา หรือเด็ก บริษัทจะอนุญาตให้ไปโดยที่ไม่ตัดค่าจ้าง และไม่ต้องเสียวันลาใดๆ เพราะถือว่าเป็น การทำเพื่อสังคม และบริษัทเองก็สนับสนุนให้ทำอย่างเต็มใจเช่นกัน
นอกจากประเด็นของ Well-Being ที่ได้กล่าวไป 5 ข้อข้างต้นแล้ว ส่วนใหญ่เรามักจะลืม Well-Being ในอีกมุมหนึ่ง ก็คือ Mental Well-Being หรือความรู้สึกที่ดีทางจิตใจของพนักงานที่มีต่อการทำงานให้กับองค์กร และจะเห็นได้ว่า พนักงานในยุคนี้มักมีความเครียดและความกดดัน ทั้งจากตัวงาน จากเจ้านาย และจากสภาพแวดล้อมต่างๆ จนทำให้ บางคนเกิดอาการ Burnout หรือหมดไฟในการทำงาน ทำให้องค์กรสมัยใหม่หันมาให้ความสำคัญในเรื่อง Mental Well-Being ของพนักงานมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องการดูแลสุขภาพจิตใจของพนักงาน และดูแลให้พนักงานมีความสุข ในการทำงานอย่างต่อเนื่อง
บางส่วนจากบทความ “Well-Being ที่ดีของพนักงาน” อีกหนึ่งประเด็นที่องค์กรควรให้ความสำคัญในยุคนี้” อ่านบทความเต็มได้ใน... วารสาร HR Society magazine ปีที่ 18 ฉบับที่ ฉบับที่ 222 เดือนสิงหาคม 2564 |
|
HRM/HRD : ครบเครื่องเรื่องค่าตอบแทน : ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร วารสาร : HR Society Magazine สิงหาคม 2564 |
|
|