กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินต้องเสียภาษีอากรอย่างไร

โดย

 


การถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินประเภทที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ของบุคคลธรรมดาอาจมีลักษณะของการครอบครอง
โดยบุคคลคนเดียวหรือครอบครองโดยหลายบุคคลในโฉนดเดียวกันก็ได้ ซึ่งการครอบครองทรัพย์สินของบุคคล
หลายคนในโฉนดเดียวเข้าลักษณะกรรมสิทธิ์รวม และสามารถกระทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนด
ไว้ในมาตรา 1356 ถึง 1366 โดยการแบ่งทรัพย์สินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมนั้นเจ้าของรวมมีสิทธิที่จะตกลงแบ่งทรัพย์สิน
กันโดยวิธีตกลงแบ่งทรัพย์สินกันเองระหว่างเจ้าของรวม หรือ วิธีตกลงขายทรัพย์สินนั้นแล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งกัน
อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 1364 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งการจดทะเบียนสิทธิและ
นิติกรรมในอสังหาริมทรัพย์ประเภทกรรมสิทธิ์รวม ต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือคำสั่งของกรมที่ดิน 

ในด้านภาษีอากร บุคคลธรรมดาซึ่งประสงค์ที่จะขายที่ดินที่ตนครอบครองอยู่นั้นให้แก่บุคคลอื่นอาจมีภาระภาษี
ตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวข้อง 3 ประเภท ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภาษีธุรกิจเฉพาะ (ถ้ามี)   และ
อากรแสตมป์(ถ้ามี)  โดยผู้ขายมีหน้าที่เสียภาษีดังกล่าว ณ สำนักงานที่ดินในขณะที่มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
ซึ่งการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายอสังหาริมทรัพย์ให้คำนวณจากราคาขายอสังหาริมทรัพย์ที่
เจ้าพนักงานประเมินกำหนดขึ้น ในกรณีโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยมีหรือไม่มีค่าตอบแทน
ไม่ว่าราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์นั้นจะเป็นเท่าใดก็ตาม ให้ถือราคาประเมินทุนทรัพย์
เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเป็นราคาที่ใช้อยู่ในวันที่มี
การโอนตามมาตรา 49 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร

สำหรับกรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย จะคำนวณจากราคาประเมินและจำนวนปีที่ถือครอง ซึ่งผู้ซื้อซึ่งเป็น
ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งเงินภาษีต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังนี้
(1) กรณีอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดกหรือที่ดินที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หา ให้หักค่าใช้จ่ายร้อยละ 50 ของเงินได้
เหลือเท่าใดถือเป็นเงินได้สุทธิแล้วหารด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด ให้คำนวณภาษีตาม
อัตราภาษีเงินได้ ได้เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเงินภาษีที่ต้องเสีย
(2) กรณีอื่นนอกจาก (1) ให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาตามมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 165) เหลือ
เท่าใดถือเป็นเงินได้สุทธิแล้วหารด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด ให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษี
เงินได้ ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้คูณด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเงินภาษีที่ต้องเสียคำว่า
"จำนวนปีที่ถือครอง" ตาม (1) และ (2) หมายถึง จำนวนปีนับตั้งแต่ปีที่ได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดิน
ถึงปีที่โอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินนั้น ถ้าเกินสิบปีให้นับเพียงสิบปี และเศษของปีให้นับเป็นหนึ่งปี

หมายเหตุ  ผู้มีเงินได้อาจเลือกเสียภาษีโดยไม่นำไปรวมกับภาษีปลายปี หากภาษีที่คำนวณได้มากกว่าร้อยละ 20
ของราคาขาย ให้เสียเพียงร้อยละ 20 ของราคาขายนั้น 
อนึ่งเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดกหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือ
หากำไร ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีตามจำนวนภาษีที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายโดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีกับเงิน
ได้อื่นเพื่อคำนวณภาษีตามมาตรา 48 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ตอนสิ้นปีก็ได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 48 (4)
ประมวลรัษฎากร แต่หากเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นเงินได้ที่ได้มาโดยมุ่งไปทางการค้าหรือ
หากำไร ผู้มีเงินได้ต้องนำเงินได้นั้นรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นตอนสิ้นปีพร้อมยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 และไม่มีสิทธิ
เลือกเสียภาษีตามมาตรา 48 (4) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร
ปัจจุบัน กรมสรรพากรและกรมที่ดินได้จัดทำโปรแกรมในการช่วยคำนวณภาษีที่เกี่ยวกับการขายอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขายและผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในการคำนวณภาระภาษีทั้ง 3 ประเภทที่
เกี่ยวข้องกับการขายอสังหาริมทรัพย์ กรณีกรมสรรพากร สามารถค้นหาได้ที่
http://rdsrv2.rd.go.th/landwht/landwht06.asp และกรณีกรมที่ดินสามารถค้นหาได้ที่
http://lecs.dol.go.th/rcal/index.html


   
      บางส่วนจากบทความ “กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินต้องเสียภาษีอากรอย่างไร” 
      อ่านบทความฉบับเต็มได้ใน... วารสารเอกสารภาษีอากร ปีที่ 38 ฉบับที่ 452 เดือนพฤษภาคม 2562




ภาษีสรรพากร : ภาษีอากร Column : เพชรรัตน์ ศุภนิมิตรกุลกิจ
วารสาร : เอกสารภาษีอากร พฤษภาคม 2562



FaLang translation system by Faboba