สรรพากรได้ออกกฎหมายปรับปรุงโครงสร้างภาษีของบุคคลธรรมดาครั้งใหญ่
ปรับปรุงค่าใช้จ่าย
- เพิ่มการหักค่าใช้จ่ายของเงินเดือน ค่าจ้าง ค่านายหน้า ฯลฯ อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร จากเดิมร้อยละ 40 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 60,000 บาท เป็นร้อยละ 50 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- ปรับปรุงการหักค่าใช้จ่ายของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากร จากเดิมให้หักได้เฉพาะค่าลิขสิทธิ์ ร้อยละ 40แต่ไม่เกิน 60,000 บาท กฎหมายเพิ่มให้ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร หรือสิทธิอย่างอื่น สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 50 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรได้
ปรับปรุงค่าลดหย่อน
- เพิ่มค่าลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ จากเดิม 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท
- เพิ่มค่าลดหย่อนสำหรับคู่สมรสของผู้มีเงินได้ จากเดิม 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท
- กรณีคู่สมรสต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ให้หักลดหย่อนรวมกันได้ไม่เกิน 120,000 บาท
- เพิ่มค่าลดหย่อนบุตรจากเดิมคนละ 15,000 บาท (ไม่เกิน 3 คน) เป็นคนละ 30,000 บาท ไม่จำกัดจำนวนยกเลิกค่าลดหย่อนการศึกษาบุตร จากเดิมให้หักลดหย่อนได้คนละ 2,000 บาท
- กองมรดกเดิมให้หักลดหย่อนได้ 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท
- ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล เดิมให้หักลดหย่อนแก่หุ้นส่วนคนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท ปรับใหม่เป็นคนละ 60,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 120,000 บาท
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่
นอกจากนี้ยังได้ปรับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ โดยจากเดิมมีรายได้สุทธิ 4,000,001 บาทขึ้นไปต้องเสียภาษี 35% ปรับเป็นต้องมีรายได้สุทธิ 5,000,001 บาทขึ้นไป เพิ่มขึ้นมา 1,000,000 บาท ดังนี้
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เงินได้สุทธิ (ปัจจุบัน) |
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปัจจุบัน |
เงินได้สุทธิ (ปรับใหม่ปี 2560) |
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปัจจุบัน |
0-150,000 บาท | ได้รับยกเลิกภาษี | 0-150,000 บาท | ได้รับยกเลิกภาษี |
150,001-300,000 บาท | 5% | 150,001-300,000 บาท | 5% |
300,001-500,000 บาท | 10% | 300,001-500,000 บาท | 10% |
500,001-750,000 บาท | 15% | 500,001-750,000 บาท | 15% |
750,001-1,000,000 บาท | 20% | 750,001-1,000,000 บาท | 20% |
1,000,001-2,000,000 บาท | 25% | 1,000,001-2,000,000 บาท | 25% |
2,000,001-4,000,000 บาท | 30% | 2,000,001-5,000,000 บาท | 30% |
4,000,001 บาทขึ้นไป | 35% | 5,000,001 บาทขึ้นไป | 35% |
ปรับปรุงเกณฑ์เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำที่ผู้มีเงินได้ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี
- กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว
- โสด จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้เกิน 50,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้เกิน 100,000 บาท
- หากมีคู่สมรส เดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้รวมกันเกิน 100,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้รวมกันเกิน 200,000 บาท - กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย หรือกรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน
- โสด จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท
- หากมีคู่สมรส จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้รวมกันเกิน 60,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้รวมกันเกิน 120,000 บาท - กรณีกองมรดกของผู้ตายที่ยังมิได้แบ่ง จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท
- กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท
ทั้งนี้การปรับเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินในปีภาษี 2560 เป็นต้นไป (ยื่นแบบภาษีในปี 2561) ซึ่งการปรับปรุงโครงสร้างภาษีครั้งนี้ทำให้การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีความเป็นธรรมมากขึ้น สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพในปัจจุบัน โดยต้องมีรายได้เดือนละ 26,000 บาทขึ้นไปจึงจะเริ่มเสียภาษี กรณีมีรายได้เฉพาะเงินเดือนเท่านั้น และหักลดหย่อนส่วนตัวโดยไม่ใช้สิทธิลดหย่อนรายการอื่น
แต่ผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงโครงสร้างภาษีนี้คือบุคคลธรรมดาที่ประกอบธุรกิจ เนื่องจากเดิมสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ ร้อยละ 85 ปี 2560 จะลดลงเหลือ ร้อยละ 60 ตามพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 629
ดังนั้นบุคคลธรรมดาที่ประกอบธุรกิจต้องศึกษากฎหมายใหม่นี้เพื่อประโยชน์ในการเสียภาษี ทั้งนี้สรรพากรก็ได้ออกกฎหมายเพื่อรองรับกรณีที่บุคคลธรรมดาต้องการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทได้ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี 2 เท่า ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่พระราชกฤษฎีกา 630