เสนอรื้อโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่

โดย

 


“6 ประเด็น” เสนอรื้อโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่


หนังสือพิมพ์ “โพสต์ทูเดย์” ฉบับวันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2561 รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 คณะอนุกรรมการ
พิจารณาปรับปรุงและแก้ไขประมวลรัษฎากร ที่มี นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณา
ปรับปรุงและแก้ไขประมวลรัษฎากร
เป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการจะดำเนินการปฏิรูปกฎหมายเป็นระยะเร่งด่วน
และได้จัดการสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นเรื่องข้อเสนอปรับปรุงและแก้ไขประมวลรัษฎากร โดยมีผู้แทนจากหน่วยงาน
ภาครัฐ รวมทั้งสภาอุตสาหกรรมหอการค้าไทย สมาคมธนาคารไทย นักวิชาการ และบุคคลทั่วไป เข้าร่วมในการเสนอ
ปรับปรุงประมวลรัษฎากรให้มีความทันสมัย และเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยจะเร่งรัดและผลักดันให้แล้วเสร็จในปี 2562
ตามแผนปฏิรูปประเทศ

ทั้งนี้ มีการเสนอให้แก้ไขกฎหมาย 6 ประเด็น ได้แก่

1. ธรรมาภิบาลการจัดเก็บภาษีและบริหารภาษีอากร โดยให้มีการตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษานโยบายภาษีอากร
แห่งชาติที่เป็นอิสระจากหน่วยงานจัดเก็บภาษี เพื่อกำหนดนโยบายการเก็บภาษีโดยคำนึงโครงสร้างภาษีทั้งระบบและ
ทุกประเภท รวมถึงการตั้งคณะกรรมการอุทธรณ์ภาษี ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ไม่ใช่จากกรมสรรพากร เพื่อให้เกิดความ
เป็นธรรมและเป็นกลาง

2. เสนอปรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ให้เหลือ 3 ประเภท จากที่ขณะนี้มี 8 ประเภท ตามมาตรา 40 ทั้งนี้
โดยแยกตามวิธีการคำนวณภาษี คือ 
(1) เงินได้จากน้ำพักน้ำแรง (earned income) ได้แก่ เงินได้พึงประเมินมาตรา 40 (1) (2) (6) ในปัจจุบัน
(2) เงินได้จากทรัพย์สินและการลงทุน (capital gain) ได้แก่ เงินได้ประเภทเงินปันผลและดอกเบี้ย 
(3) เงินได้จากธุรกิจและอื่นๆ ในลักษณะคล้ายกำไรจากธุรกิจ (business profits) ในอนุสัญญาภาษีซ้อน 
คณะกรรมการยังเสนอให้มีการหักค่าใช้จ่ายได้เพิ่มมากขึ้น ตามประเภทของประเภทเงินได้ จากปัจจุบันที่บางประเภท
หักค่าใช้จ่ายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี
นอกจากนี้ จะเสนอให้มีการปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลดลงจากปัจจุบันสูงสุด 35% ลงเหลือ 25%
ใกล้เคียงกับภาษีเงินได้ของนิติบุคคล และขยายช่วงเงินได้สำหรับการคำนวณภาษีแต่ละขั้นหรือแต่ละอัตรา เพื่อเป็น
การส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการประกอบธุรกิจ แต่ยังไม่พร้อมจะแปรสภาพเป็นนิติบุคคล ให้เข้ามาอยู่ใน
ระบบภาษีมากยิ่งขึ้น

3. เสนอให้มีการปรับลดอัตราภาษีภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยให้รวมเสียภาษีไม่เกิน 25% จากปัจจุบันภาษี
นิติบุคคลของไทยเสียอยู่ที่ 20% และต้องเสียภาษีเงินปันผลอีกประมาณ 10% ของกำไรสุทธิหลังจากเสียภาษีนิติ
บุคคลแล้ว ซึ่งอันที่จริงจะเท่ากับ 8% ของกำไรก่อนเสียภาษี ทำให้มีภาระภาษีรวมอยู่ที่ 20 + 8 = 28% นอกจากนี้
ยังมีการเสนอให้กลุ่มบริษัทเดียวกันมีสิทธิคำนวณกำไรเสียภาษีรวมแบบกลุ่ม (Consolidated Account and Filing)
อันจะป้องกันการถ่ายโอนกำไรและราคาสินค้าและบริหารเพื่อเสียภาษีให้น้อยลง
การเปลี่ยนแปลงข้างต้นจะสอดคล้องกับระบบภาษีในประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง ที่เก็บภาษีนิติบุคคลเพียง 17 -18%
และไม่เก็บภาษีของเงินปันผลจ่าย ประเทศไทยเก็บภาษีนิติบุคคลที่ 20% แต่เมื่อจ่ายเงินปันผลต้องเสียอีก 10%
ทำให้บริษัทห้างร้านไม่ยอมจ่ายเงินปันผล รัฐบาลจึงเก็บภาษีอีก 10% นั้นไม่ได้
เสนอให้กำหนดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เพียงอัตราเดียวสำหรับเงินได้ทุกประเภท และปรับวงเงินขั้นต่ำที่จะต้องหัก
ภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย เพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระของผู้จ่ายเงินได้ในการตีความ 

4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้ปรับจากที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีในปัจจุบันเพิ่มเป็น 10 ล้านบาทต่อปี
เพื่อแก้ปัญหาผู้ประกอบการรายเล็กและ SME ไม่ให้หลีกเลี่ยงการเสียภาษี VAT เนื่องจากผู้ประกอบการ SME ปัจจุบัน
มีรายได้อยู่ปีละ 7 - 8 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่มีรายได้ไม่ถึง 10 ล้านบาท ไม่ต้องจดทะเบียนและเสียภาษี VAT
แต่อาจต้องเสียภาษีจากการขายจากยอดรายรับ 2% ทดแทน 
รวมทั้งเสนอให้ยกเลิกการยกเว้นภาษี VAT ให้กิจการบางประเภท เช่น บริการสอบบัญชี การว่าความ โรงเรียนกวดวิชา
การให้บริการนักแสดง เป็นต้น และคงเหลือยกเว้นเฉพาะประเภทที่จำเป็นและสมควร และเสนอให้จัดเก็บภาษี VAT
ของผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซให้รัดกุมมากขึ้น

5. เสนอให้ยกเลิกจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะอัตรา 0.1% จากรายรับจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ 

6. เสนอให้ยกเลิกการเก็บภาษีอากรแสตมป์ทั้งหมด เนื่องจากซ้ำซ้อนกับการเก็บภาษีประเภทอื่น มีจำนวนน้อย
และมีค่าใช้จ่ายในการติดตามตรวจสอบสูงกว่าภาษีอากรแสตมป์เก็บได้

ทั้งนี้คณะกรรมการมีความเห็นว่า ข้อเสนอการแก้ไขกฎหมายสรรพากรดังกล่าว จะช่วยขยายฐานภาษีบุคคลธรรมดา
ของคนไทยให้สูงขึ้นได้ถึง 35 ล้านคน จากประชาชนราว 70 ล้านคน จากปัจจุบันมีคนอยู่ในระบบภาษีเพียงกว่า
10 ล้านคน มีผู้เสียภาษีจริงเพียง 3 ล้านคน รวมถึงการขยายฐานภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ปัจจุบันอยู่ในระบบ 4 แสนราย
เทียบกับผู้ประกอบการ SME ที่มีถึง 3 ล้านราย แสดงให้เห็นว่ายังมีคนอยู่นอกระบบภาษีอยู่มาก แต่เนื่องจากเป็น
การรื้อระบบภาษีที่ค่อนข้างกว้างขวาง จึงต้องดูว่าจะทำได้สำเร็จมากน้อยหรือช้าเร็วเพียงใด นับได้ว่าเป็นโครงการ
ที่เป็น Ambitious Plan

ทั้งนี้ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลจะเร่งแก้ไขกฎหมาย
ประมวลรัษฎากรของกรมสรรพากร เพราะหากทำไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้ รัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้งใหม่
อาจไม่ดำเนินการต่อ เพราะเรื่องของการขยายฐานภาษีอาจไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนของรัฐบาลเลือกตั้งที่จะรีบ
ดำเนินการ เนื่องจากอาจทำให้เสียความนิยม
ขอให้ทุกท่านโชคดี

   
      บางส่วนจากบทความ “เสนอรื้อโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่” 
      อ่านบทความฉบับเต็มได้ใน...วารสารเอกสารภาษีอากร ปีที่ 38 ฉบับที่ 446 เดือนพฤศจิกายน 2018




บทความพิเศษ : TAXBugnoms (บล็อกภาษีข้างถนน) 
วารสาร : เอกสารภาษีอากร พฤศจิกายน 2561



FaLang translation system by Faboba